ด้านสถิติประเทศไทย จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-5 จำนวนกว่า 7,800 คน ในปี 2555 พบว่าความชุกของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ที่ 8.1% โดยพบมากที่สุดในเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงในอัตราส่วน 3:1
ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคสมาธิสั้น และแม้ว่าเด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมน่าสงสัยที่เข้าข่ายโรคสมาธิสั้น แต่อาจเป็นเพียงพัฒนาการตามช่วงวัยเท่านั้น ซึ่งเด็กที่มีพฤติกรรมตามวัย อย่างซุกซน อยู่ไม่นิ่ง ไม่เชื่อฟัง หากไม่ได้มีอาการตามเกณฑ์วินิจฉัยของโรคสมาธิสั้น แสดงว่าเด็กไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น อาการจะดีขึ้นหรือหายไปเมื่อโตขึ้นหรือเมื่อเวลาผ่านไป ในขณะที่อาการของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะยังคงอยู่ต่อไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ และเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างเหมาะสม
อาการของสมาธิสั้น
อาการของผู้ที่เป็นโรคสมาธิสั้นอาจยังคงอยู่ตลอดจนเข้าสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โดยรูปแบบอาการอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อยตามวัย และตามการรักษาดูแลที่ผู้ป่วยได้รับ หรืออาจยังมีบางอาการที่ยังคงอยู่และกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน
การแสดงพฤติกรรมของโรคสมาธิสั้นมี 2 รูปแบบหลัก คือ การขาดสมาธิในการจดจ่อหรือตั้งใจทำสิ่งใด และการอยู่ไม่นิ่งและมีความหุนหันพลันแล่น โดยเด็กอาจมีพฤติกรรมรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่มักปรากฏพฤติกรรมทั้ง 2 รูปแบบรวมกัน โดยพฤติกรรมเหล่านั้นจะเป็นอุปสรรคที่ส่งผลให้เกิดความยุ่งยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน การเข้าสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
อาการที่พบในเด็กและวัยรุ่น
ด้านการขาดสมาธิจดจ่อตั้งใจ
ไม่ตั้งใจฟัง ไม่สนใจในขณะที่มีคนพูดด้วย
ไม่ทำอะไรไปตามขั้นตอน ชอบทำอะไรง่าย ๆ รวบรัด
ไม่ชอบทำอะไรเป็นเวลานาน ๆ มักเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน
ไม่ชอบเรียนรู้เรื่องที่ต้องใช้เวลา เช่น การอ่านเรื่องยาว ๆ
มองข้ามเรื่องสำคัญ ไม่ใส่ใจรายละเอียด จนเกิดความผิดพลาดบ่อย ๆ
มักลืมอุปกรณ์เครื่องใช้หรือสิ่งของจำเป็น เช่น ลืมดินสอ ยางลบ ปากกา หนังสือ ตอนมาโรงเรียน
มักลืมสิ่งที่ต้องทำหรือที่ได้รับมอบหมาย เช่น ลืมทำการบ้าน ลืมการนัดหมาย
วอกแวกง่ายเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น หรือมีความคิดอื่นมากระตุ้นในขณะทำกิจกรรมใด ๆ อยู่
จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น เรียงลำดับสิ่งที่ควรทำไม่ได้
บริหารจัดการเวลาได้ไม่ดี ไม่สามารถทำงานเสร็จตามกำหนดการ
หลีกเลี่ยงและไม่ชอบงานที่ต้องใช้ความพยายามมาก ๆ อย่างการทำการบ้าน การเขียนรายงานหรือเรียงความ
มีปัญหากับการทำงานตามกำหนด หรือการเรียน การเล่น กิจกรรมอะไรก็ตามที่ต้องทำตามกฎระเบียบหรือกรอบคำสั่ง
ด้านการตื่นตัว อยู่ไม่นิ่ง และหุนหันพลันแล่น
พูดมาก พูดไม่หยุด
นั่งนิ่งอยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ
ว่องไว เคลื่อนไหวรวดเร็ว ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
มีปัญหาเกี่ยวกับการรอ ไม่ชอบการรอคอย
ลุกออกจากที่นั่งบ่อย ๆ ในสถานการณ์ที่ควรนั่ง เช่น ขณะกำลังอยู่ในชั้นเรียน ขณะอยู่ที่ทำงาน
ลุกลี้ลุกลน กระสับกระส่าย จนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์
ไม่สามารถทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกได้เงียบ ๆ ตามลำพัง
พูดโต้ตอบสวนขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายยังพูดหรือถามไม่จบ ไม่รอให้ผู้อื่นพูดจบแล้วค่อยพูด
พูดแทรกหรือรบกวนในขณะที่ผู้อื่นกำลังพูดหรือทำกิจกรรมใด ๆ อยู่
อาการที่พบในผู้ใหญ่
ประมาทเลินเล่อ ขาดความใส่ใจในรายละเอียด
ขี้หลงขี้ลืม
ร้อนรน กระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข
อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
ใจร้อน ไม่มีความอดทน
ใช้ชีวิตบนความเสี่ยง ประมาท ขับรถเร็ว
ไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ หรือจัดการได้ไม่ดี
ชอบพูดโพล่งออกมา ไม่ชอบการทนอยู่เงียบ ๆ
พูดแทรก ไม่รอให้ถึงจังหวะหรือลำดับของตนเอง
มักทำงานผิดพลาดอยู่เสมอ
มีปัญหาเรื่องการจัดการ การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา
มักเริ่มทำงานใหม่โดยที่ยังไม่ได้ทำงานเดิมให้สำเร็จลุล่วง
สาเหตุของสมาธิสั้น
ปัจจุบัน สาเหตุของการเกิดโรคสมาธิสั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่กำลังมีการศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่อาจเป็นเหตุให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น หรือเด็กอาจเป็นโรคสมาธิสั้นจากหลายปัจจัยเหล่านี้รวมกัน ได้แก่
พันธุกรรม ผลการค้นคว้าชี้ว่า ผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นมักมีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่โรคสมาธิสั้นจะส่งต่อกันผ่านทางพันธุกรรม
โครงสร้างสมอง อาจเป็นโครงสร้างแต่กำเนิด หรืออาจเกิดจากการได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนทางสมองตั้งแต่ในครรภ์ หรือในช่วงที่เป็นเด็กเล็ก
จากการสแกนสมองคนทั่วไปเทียบกับผู้ป่วยโรคสมาธิสั้น พบว่าพื้นที่บางส่วนของสมองผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นมีขนาดเล็กกว่า และบางส่วนก็มีขนาดใหญ่กว่า รวมทั้งการขาดความสมดุลของระดับสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นโรคสมาธิสั้น
การตั้งครรภ์และการคลอด ผู้เป็นแม่อาจสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติดในขณะตั้งครรภ์ หรืออาจอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ และเต็มไปด้วยมลภาวะ จึงรับเอาสารพิษเข้าสู่ร่างกายจนมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ รวมไปถึงการคลอดก่อนกำหนด และการมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ
สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ผู้ป่วยอาจได้รับสารพิษและสารเคมีที่เป็นอันตรายเข้าสู่ร่างกายในขณะที่ยังเป็นเด็กเล็ก เช่น ได้รับสารตะกั่วเข้าไปในร่างกายเป็นปริมาณมาก
ส่วนความเชื่อที่ว่า การดูโทรทัศน์และการเล่นวิดีโอเกมจะทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้นนั้น ยังไม่มีผลการค้นคว้าที่ยืนยันได้แน่ชัดในปัจจุบัน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนระหว่างเด็กสมาธิสั้นกับวิดีโอเกมคือ การดูรายการโทรทัศน์บางอย่างหรือการเล่นเกมบางเกมจะตอบสนองต่อความต้องการของเด็กสมาธิสั้นที่ไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อสนใจอยู่กับสิ่งใดนาน ๆ ทำอะไรฉาบฉวย ปุบปับ แล้วก็เลิกสนใจไป
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีการอธิบายเชิงสาเหตุ แต่การให้เด็กดูโทรทัศน์ เล่นเกม หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างพอดีทั้งด้านปริมาณและระยะเวลา ย่อมเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการเลี้ยงดูเด็ก
การวินิจฉัยสมาธิสั้น
หากเข้าข่ายน่าสงสัยของโรคสมาธิสั้น ควรสังเกต บันทึกอาการ แล้วจึงไปพบแพทย์ โดยการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น ผู้ป่วยต้องมีอาการอยู่ในเกณฑ์วินิจฉัยในด้านการขาดสมาธิจดจ่อตั้งใจ หรือในด้านการตื่นตัวอยู่ไม่นิ่งหุนหันพลันแล่น มีอาการแสดงทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือต่อเพื่อน ต่อครอบครัว อย่างน้อย 2 สถานการณ์ขึ้นไป จนสร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียน หรือการเข้าสังคม และอาการที่พบต้องไม่ใช่ผลข้างเคียงหรือภาวะของการป่วยโรคทางจิตเวชอื่นใด
เกณฑ์วินิจฉัยโรคสมาธิสั้นตามคู่มือการวินิจฉัยและสถิติความผิดปกติทางจิต ฉบับล่าสุด (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) คือ
ด้านการขาดสมาธิจดจ่อตั้งใจ มีอาการ 6 ข้อขึ้นไปในเด็กถึงวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปี หรือมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป
มักจะล้มเหลวในการทำงานที่ต้องใช้สมาธิ ต้องใส่ใจรายละเอียด เกิดความผิดพลาดอันเป็นผลมาจากความประมาท ทั้งที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือการทำกิจกรรมใด ๆ เสมอ
มักมีปัญหาในการจดจ่อตั้งใจทำตามกำหนดการ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมเสมอ
มักไม่สนใจฟังแม้มีคนกำลังคุยด้วยอยู่ข้างหน้า
มักไม่ทำอะไรตามขั้นตอน และไม่สามารถทำงานที่โรงเรียน ทำงานบ้าน หรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง เช่น ขาดการมุ่งความสนใจ หรือพยายามหลีกเลี่ยงการทำตามขั้นตอน
มักมีปัญหาในการบริหารจัดการสิ่งที่ต้องทำหรือกิจกรรมที่ต้องทำ
มักจะหลีกเลี่ยง ไม่ชอบ หรือไม่เต็มใจทำตามกำหนดการที่ต้องใช้ความพยายามและความอดทนสูงในช่วงเวลานาน ๆ เช่น งานที่ได้รับมอบหมายที่โรงเรียนและการบ้าน
มักจะลืมสิ่งของจำเป็นในการเรียน การทำงาน หรือการทำกิจกรรม เช่น อุปกรณ์ในการเรียน ดินสอ หนังสือ เครื่องมือต่าง ๆ กระเป๋าสตางค์ กุญแจ เอกสาร แว่นตา โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
ใจลอย วอกแวกง่าย ขาดสมาธิจดจ่อสนใจ
มักลืมสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน
ด้านการตื่นตัว อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น มีอาการ 6 ข้อขึ้นไปในเด็กถึงวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปี หรือ มีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป
มักอยู่ไม่สุข อยู่ไม่นิ่ง กระดิกมือหรือเท้าตลอด นั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้
มักลุกออกจากที่นั่งในสถานการณ์ที่ไม่ควรลุกออกไป
มักวิ่งไปรอบ ๆ หรือปีนป่ายซุกซนในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก หรือรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
มักไม่สามารถเล่นหรือทำกิจกรรมสันทนาการอย่างเงียบ ๆ ได้
มักจะตื่นตัวหรือลุกลี้ลุกลนตลอดเวลา
มักจะพูดมาก พูดไม่หยุด
มักจะพูดตอบสวนคำถาม ไม่รอให้ถามคำถามให้จบก่อน
มักมีปัญหาเกี่ยวกับการรอให้ถึงจังหวะหรือลำดับของตนเอง
มักรบกวนหรือก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น หรือขัดจังหวะในระหว่างบทสนทนา
ทั้งนี้ ผู้ป่วยสมาธิสั้นสามารถป่วยด้วยอาการด้านการขาดสมาธิจดจ่อตั้งใจ หรือด้านการตื่นตัว อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่นด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว หรืออาจป่วยด้วยอาการทั้ง 2 ด้านร่วมกัน โดยอาการดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน ขึ้นไป
การรักษาสมาธิสั้น
โดยทั่วไป สามารถรักษาอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น และลดพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตลง แต่ไม่ได้ทำให้อาการหายขาดไปได้อย่างถาวร โดยการรักษาที่มีประสิทธิผลสูงสุด คือ รักษาด้วยยาควบคู่กับการบำบัด
การรักษาด้วยยา จะช่วยปรับอาการและพฤติกรรมให้เด็กมีสมาธิจดจ่อได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดอาการอยู่ไม่นิ่งหุนหันพลันแล่นลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัว และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้นในประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งจะออกฤทธิ์ต่อสารสื่อประสาทภายในสมองส่วนที่ควบคุมสมาธิ ความคิดและพฤติกรรม อย่างโดปามีน และนอพิเนฟรีน เช่น ยาเมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate) ที่ใช้กับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีไปจนถึงวัยรุ่น และอะโทม็อกซีทีน (Atomoxetine) ใช้กับเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ออกฤทธิ์ต่างจากยาตัวอื่น คือ ไม่ได้กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง แต่จะยับยั้งการดูดกลับสารนอร์อะดรีนาลีน ทำให้เพิ่มจำนวนสารนอร์อะดรีนาลีนที่ช่วยควบคุมอาการหุนหันพลันแล่นและเพิ่มการจดจ่อสมาธิของเด็ก
ส่วนยาบางกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อระดับสารโดปามีนและสารนอร์อะดรีนาลีนในสมอง ที่อาจส่งผลต่อการรักษาโรคสมาธิสั้น ได้แก่ โคลนิดีน (Clonidine) และยาต้านเศร้า (Antidepressant) แต่เป็นยาที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า และมีข้อมูลการค้นคว้าเกี่ยวกับยาในทางการรักษาโรคสมาธิสั้นน้อยมาก จึงไม่ควรเป็นยาหลักที่ถูกนำมารักษาอาการสมาธิสั้น
การใช้ยารักษาเด็กสมาธิสั้นต้องเป็นไปตามใบสั่งจากแพทย์เท่านั้น โดยเด็กควรรับประทานยาอย่างถูกต้องตามวิธีและตามปริมาณที่แพทย์กำหนด และต้องไปพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอยู่เสมอ
การเข้ารับการบำบัด เด็กควรรับการบำบัดเพื่อเรียนรู้และปรับพฤติกรรมควบคู่ไปกับการรับยา ทั้งเพื่อรักษาบรรเทาอาการสมาธิสั้น และอาการที่อาจเกิดขึ้นร่วมกับโรคสมาธิสั้น อย่างปัญหาทางอารมณ์ ความวิตกกังวล เป็นต้น
วิธีต่าง ๆ ที่เด็กควรเข้ารับการบำบัดภายใต้การดูแลของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
การให้ความรู้ทางสุขภาพจิต (Psychoeducation) เป็นวิธีการที่ให้เด็กกล้าที่จะเผชิญหน้าและพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเป็นโรคสมาธิสั้น เพื่อให้เด็กทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และหาวิธีรับมือกับอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
พฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy) เป็นการวางแผนจัดการกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ผู้ปกครองและครูควรช่วยกันดูแลและปรับพฤติกรรมของเด็ก เช่น การให้รางวัลหรือคำชมเมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่เหมาะสม และการลงโทษหรือยึดของที่เด็กชอบเมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ดีและเลือกที่จะกระทำพฤติกรรมในด้านดี
การเข้าโปรแกรมฝึกหัดและการให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง โดยกลุ่มผู้ปกครองของเด็กสมาธิสั้น หรือผู้ที่ดูแลเด็กจะได้เข้ากลุ่มเพื่อศึกษาทำความเข้าใจเด็กสมาธิสั้น ฝึกหัดดูแลและรับมือพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้น
การ
